วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กฎหมายไทย



ความหมายของกฎหมาย
            กฎหมาย คือ ระเบียบ ข้อบังคับ บทบัญญัติซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐหรือประเทศ ได้กำหนดมาเพื่อใช้ในการบริหารกิจการบ้านเมืองหรือบังคับความประพฤติของ ประชาชนในรัฐหรือประเทศนั้นให้ปฏิบัติตาม เพื่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม หากผู้ใดฝ่าฝืนจะได้รับผลอย่างใดอย่างหนึ่งตามกฎหมาย

ประวัติความเป็นมาของกฎหมาย
             เดิมกฎหมายของประเทศไทยนั้นมีที่มาจากจารีตประเพณี ศาสนา รวมไปถึงพระราชโองการของพระมหากษัตริย์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีกฎหมายที่เรียกว่า “พระราชศาสตร์” ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงตราขึ้นโดยอาศัยหลักใน “คัมภีร์พระธรรมศาสตร์” จนกระทั่งการเสียเมือง ครั้งที่ 2 ให้แก่ประเทศพม่า เอกสารสำคัญทางกฎหมายได้มีการถูกทำลายและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ต่อมาในสมัยของรัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แม้จะมีการรวบรวมกฎหมายขึ้นใหม่แต่ก็เหลือเพียงหนึ่งในสิบของกฎหมายที่มี อยู่เดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยา อีกทั้งยังมีเนื้อหาที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทำให้กฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถตัดสินคดีได้อย่างยุติธรรม รัชกาลที่ 1 จึงทรงชำระสะสางกฎหมายเสียใหม่กลายเป็น “กฎหมายตราสามดวง” ถือ เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญของไทยเรา นักวิชาการทั้งหลายถือว่าแม้จริงแล้วกฎหมายตราสามดวงนี้ก็คือกฎหมายในสมัย กรุงศรีอยุธยานั่นเอง




ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริที่จะนำเอาเอกราชทางศาลกลับคืนมา โดยการแก้ไขกฎหมายให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ จึงได้มีส่งข้าราชการและพระบรมวงศานุวงศ์ไปศึกษากฎหมายที่ต่างประเทศเพื่อนำ ความรู้มาพัฒนากฎหมาย รวมถึงจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษา ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการตรวจแก้ไขและปรับปรุงกฎหมายขึ้นใหม่ โดยตั้งตณะกรรมการซึ่งมีพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พระบิดาแห่งกฎหมายไทย) เป็นประธาน โดยร่างประมวลกฎหมายอาญาเสร็จก่อน(ในสมัยนั้นคือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127) อีกทั้งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นร่างกฎหมายอื่นๆด้วย ต่อมาในสมัยรัชการที่ 6 ก็ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นร่างประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์และปรกาศใช้ในปี พ.ศ.2468 แรกเริ่มเดิมทีมีเพียง 2 บรรพ คือบรรพ 1 ว่าด้วยบทเบ็ดเสร็จทั่วไป และบรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ หลังจากนั้นก็มีการร่างบรรพอื่นๆขึ้นจนครบ 6 บรรพในภายหลัง 
 

พระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์(พระบิดาแห่งกฎหมายไทย)
 
ความสำคัญของกฎหมายไทย
            กฎหมายมีลักษณะสำคัญ สรุปได้ดังนี้
                        1.กฎหมายมีลักษณะเป็นข้อบังคับ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ      
                                    1.1บังคับไม่ให้กระทำ เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามทำร้ายร่างกาย ห้ามสิ่งเสพติด
                             1.2บังคับให้กระทำ เช่น ประชาชนชาวไทยเมื่อมี อายุ 7 ปี ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน ผู้มีรายได้ต้องเสียภาษีอากร เป็นต้น
                        2.กฎหมายมีลักษณะเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดมีขึ้นโดยผู้มีอำนาจสูงสุดใน รัฐ เช่น ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ออกกฎหมาย ส่วนประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีรัฐสภาเป็นผู้ออกกฎหมายและพระราชบัญญัติ มีรัฐบาลเป็นผู้ออกพระราชกำหนด พระรากฤษฎีกาและกฎกระทรวง
                        3.กฎหมายจะต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้กับบุคคลทุกคนในรัฐโดยไม่มีข้อยกเว้น อย่างเสมอภาคไม่ว่าคนนั้นจะถือสัญชาติใดก็ตาม
                        4.กฎหมายมีผลบังคับใช้ตลอดไป จนกว่าจะมีคำสั่งยกเลิก                  
                        5.ผู้ใดฝ่าฝืน กฎหมายต้องได้รับโทษ การปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของผู้ปฏิบัติ แต่เกิดจากการถูกบังคับ ดังนั้นเพื่อให้การบังคับเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีบทลงโทษแก่ผู้ฝ่าฝืน ได้แก่
                             5.1ความผิดทางอาญากำหนดโทษไว้ 5 สถาน คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับและริบทรัพย์สิน
                             5.2กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ กฎหมายที่บัญญัติออกมาต้องมาจากรัฐที่มีเอกราช



กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
            กฎหมายแพ่ง เป็นกฎหมายเอกชนว่าด้วยเรื่องสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ ระหว่างเอกชนต่อเอกชน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย กฎหมายแพ่งของไทยบัญญัติในรูปของประมวลกฎหมายรวมกับกฎหมายพาณิชย์  รวมเรียกว่า กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีสาระพอสังเขป ได้ดังนี้
            1.บุคคล หมายถึง สิ่งซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย มี 2 ประเภท คือ บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล
 



1.1บุคคลธรรมดา หมายถึง มนุษย์ซึ่งมีสภาพบุคคลและสิ้นสภาพบุคคลโดยการตายตามธรรมชาติ หรือตายโดยการสาบสูญ (กรณีปกติ 5 ปี และกรณีไม่ปกติ 2 ปี คือ อยู่ในระหว่างการรบสงคราม ประสบภัยในการเดินทาง เหตุอันตรายต่อชีวิต)
            1.2นิติบุคคล หมายถึง สิ่งที่กฎหมายรับรองให้เป็นสภาพบุคคลสมมุติ ให้มีสิทธิหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา แบ่งเป็น 2 ประเภท  คือ นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แก่



1.2.1กระทรวง ทบวง กรม
                        1.2.2วัดวาอาราม ที่จดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสงฆ์
                        1.2.3ห้างหุ้นส่วนที่ได้จดทะเบียน
                        1.2.4บริษัทจำกัด
            กฎหมายพาณิชย์ คือ กฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล อันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการเศรษฐกิจและการค้า โดยวางระเบียบเกี่ยวพันทางการค้าหรือธุรกิจระหว่างบุคคล เช่น การตั้งหุ้นส่วนบริษัท การประกอบการรับขน และเรื่องเกี่ยวกับตั๋วเงิน (เช่น เช็ค) กฎหมายว่าด้วยการซื้อขาย การเช่าทรัพย์ การจำนอง การจำนำ เป็นต้น



นิติกรรมสัญญา
            หมายถึง การใดๆอันทำโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ
            ลักษณะสำคัญของนิติกรรม มีดังนี้
                        1.เป็นการกระทำของบุคคลโดยมีการแสดงถึงการเจตนา
                        2.ต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
                        3.ต้องเป็นการกระทำด้วยใจสมัคร
                        4.ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งโดยตรงที่จะให้เกิดผลในทางกฎหมายขึ้นระหว่างบุคคล
                        5.ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิ
            แบบของนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้ แยกได้เป็น 4 แบบ ดังนี้
                        1.แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ สัญญาแลกเปลี่ยน ให้ จำนอง เป็นต้น
                        2.แบบที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด จดทะเบียนสถานะของบุคคล ได้แก่ การเกิด การตาย การสมรส การหย่า การรับรองบุตร การรับบุตรบุญธรรม
                        3.แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น การทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองหรือแบบลับ
                        4.แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือ เช่น สัญญาเช่าซื้อ หรือทำพินัยกรรมแบบธรรมดา เป็นต้น
ความหมายของสัญญา
            สัญญา  เป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นจากการตกลงกันระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ทำให้เกิดมีความเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ มีหน้าที่ต่อกัน ส่วนการปฏิบัติต่อกันอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นสัญญาอะไร
            สัญญาประกอบด้วยสาระสำคัญ 3 ประการดังนี้
                        1.ต้องมีตั้งแต่ 2 บุคคล ขึ้นไป
                        2.ต้องมีเจตนาตรงกัน
                        3.ต้องมีวัตถุประสงค์ในการทำงาน
            ประเภทของสัญญา
                        1.สัญญาต่างตอบแทนกับสัญญาไม่ต่างตอบแทน
                                    สัญญาต่างตอบแทน ได้แก่ สัญญาที่ทำให้คู่สัญญาต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน กล่าวคือ คู่สัญญาต่างมีหนี้หรือหน้าที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่กันเป็นการตอบแทน เช่นสัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์ เป็นต้น
                                    สัญญาไม่ต่างตอบแทน ได้แก่ สัญญาที่ไม่ทำให้คู่สัญญาเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ซึ่งกันและกัน เป็นสัญญาที่ก่อหนี้ฝ่ายเดียว เช่น สัญญายืม
                        2.สัญญาประธานและสัญญาอุปกรณ์
                                    สัญญาประธาน หมายถึง สัญญาที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้โดยลำพัง ไม่ขึ้นอยู่กับสัญญาฝ่ายใด เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าทรัพย์  สัญญาเช่าซื้อ เป็นต้น
                                    สัญญาอุปกรณ์ สัญญาที่ไม่สามารถเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้โดยลำพังตนเอง เช่น สัญญาค้ำประกัน สัญญาจำนอง สัญญาจำนำ เป็นต้น


  สัญญาซื้อขาย

              สัญญาซื้อขายเป็นเอกทัศสัญญาชนิดหนึ่ง  ในชีวิตประจำวันมีการใช้กันมาก  ทั้งซื้อขายตั้งแต่ของราคาไม่มากจนกระทั่งของราคาสูงๆ  เช่น  ที่ดิน  บ้าน  รถยนต์  เป็นต้น  สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาที่ต้องนำหลักเกณฑ์ทั่วไปในการทำนิติกรรมมาใช้  ทั้งเรื่องการแสดงเจตนา  วัตถุประสงค์  หรือแบบแห่งนิติกรรมมิฉะนั้นสัญญาอาจไม่สมบูรณ์

                 ลักษณะสัญญาซื้อขาย

                                    1.เป็นสัญญา 2 ฝ่ายที่มีผู้ซื้อและผู้ขาย

                                    2.มีวัตถุประสงค์โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและแลกเปลี่ยนกับเงินตรา

                           3.เป็นสัญญาต่างตอบแทน คือ ผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ์และส่งมอบทรัพย์สิน  ผู้ซื้อมีหน้าที่ชำระราค



          ประเภทของสัญญาซื้อขาย


                       1.สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด

                        2.สัญญาจะซื้อจะขาย

                        3. สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข

                        4.สัญญาซื้อขายมีเงื่อนเวลา

                                       5.คำมั่นจะซื้อจะขาย 
 

กฎหมายอาญา
            เป็นกฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้นเพื่อกำหนดลักษณะของการกระทำที่ถือว่าเป็นความผิด และกำหนดบทลงโทษทางอาญาสำหรับความผิดนั้น เป็นกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดเป็นความผิด
                        

หลักกฎหมายภาคทั่วไป
                        1.กฎหมายอาญาต้องแน่นอนชัดเจนคือ ถ้อยคำในบทบัญญัติกม.อาญาต้องมีความชัดเจนหลีกเลี่ยงถ้อยคำที่จะทำให้การตัดสินคดี ขึ้นอยู่กับความรู้สึกที่เป็นอัตวิสัย และอำเภอใจผู้พิจารณาคดี
                        2.ห้ามใช้กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง (การให้เหตุผลโดยอ้างความคล้ายคลึงกัน) ลงโทษทางอาญาแก่บุคคล
                        3.กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังไปลงโทษการกระทำที่ผ่านมาแล้วเป็นกม.ที่ใช้ในขณะ กระทำการนั้นกม.อาญาในที่นี้ คือ บทบัญญัติที่กำหนดเกี่ยวกับการกระทำผิดและโทษ (Nullum crimen, nulla peona sina lega หรือ No crime, no punishment without law)
                   4.กฎหมายอาญาต้องแปลหรือตีความโดยเคร่งครัด ความเข้าใจที่ว่าหากตีความตามตัวอักษรแล้วหากข้อความนั้นไม่ชัดเจนจึงค่อย พิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ที่ถูกต้องคือ การตีความกฎหมายอาญาจะต้องตีความทั้งตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายไป พร้อมๆกัน โดยไม่สามารถเลือกตีความอย่างใดอย่างเพียงอย่างเดียวก่อนหรือหลังได้ การตีความกฎหมายดังที่กล่าวมาจึงอาจมีการตีความอย่างแคบหรืออย่างกว้างก็ได้ ทั้งนี้ เกิดจากการพิจารณาตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน โดยอาจกล่าวได้ว่ามีแต่การตีความกฎหมายนั้นมีแต่การตีความโดยถูกต้องเท่า นั้น และการที่กฎหมายอาญาจะต้องตีความโดยเคร่งครัดนั้น หมายความว่า ห้ามตีความกฎหมายเกินตัวบท

ประเภทของความผิด ความผิดทางอาญา มี 2 ประเภท คือ
                        1.ความผิดในตัวเอง (ละติน: mala in se) คือความผิดที่คนทั่วไปเห็นชัดเจนว่าเป็นความผิดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
                        2.ความผิดเพราะกฎหมายห้าม (ละติน: mala prohibita) คือความผิดที่เกิดจากการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด โดยอาจมิได้เกี่ยวกับศีลธรรมเลย ซึ่งหากกล่าวถึงทฤษฎีกฎหมายสามยุค ความผิดเพราะกฎหมายห้ามอยู่ในยุคกฎหมายเทคนิค
            ลักษณะการเกิดของความผิด แบ่งลักษณะของการกระทำความผิดไว้ 3 ประเภท คือ
                        1.ความผิดโดยการกระทำ
                        2.ความผิดโดยการงดเว้นการกระทำ
                        3.ความผิดโดยการละเว้นการกระทำ





สภาพบังคับของกฎหมายอาญา

                        โทษทางอาญา เป็นสภาพบังคับหลักทางอาญาที่สามารถใช้ได้กับการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญา ตามกฎหมายอื่นด้วย ดุลยพินิจในการลงโทษ ที่ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดหนักเบาเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทฤษฎีซึ่งเกี่ยว กับจุดประสงค์ในการลงโทษ ซึ่งแยกได้ 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีเด็ดขาด การลงโทษ คือ การตอบแทนแก้แค้นการกระทำผิด การลงโทษหนักเบาย่อมเป็นไปตามความร้ายแรงของความผิด และทฤษฎีสัมพันธ์ การลงโทษมีประโยชน์คือ เพื่อให้สังคมปลอดภัย โทษจึงทำหน้าที่ห้ามไม่ให้คนกระทำความผิด และในกรณีกระทำความผิดไปแล้ว โทษมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงให้ผู้กระทำความผิดนั้นกลับตัวกลับใจแก้ไขการ กระทำผิดที่เคยเกิดขึ้นและสามารถกลับเค้าสู่สังคมอย่างเดิม
กฎหมายภาษีอากร
            หมายถึง สิ่งที่รัฐบาลบังคับจัดเก็บจากราษฎร เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม โดยมิได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษี ภาษีอากรมีลักษณะเป็นการบังคับเก็บ ประชาชนทุกคนเป็นผู้รับผิดชอบในการเสียภาษี วัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินภาษีคือ นำไปใช้เพื่อสาธารณะหรือสังคมโดยรวม
            วัตถุประสงค์ของการจัดเก็บภาษี

1. เพื่อหารายได้ให้เพียงพอมาใช้จ่ายในกิจการของรัฐบาล


2. เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการกระจายรายได้


3. เพื่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ


4. เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ


5. เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
            หลักการจัดเก็บภาษีที่ดีมี 6 ประการ คือ
                        1.หลักความเป็นธรรม นับว่าสำคัญมากเนื่องจาก การจัดเก็บภาษีอากรที่เป็นธรรมจะมีส่วนช่วยยกระดับความสมัครใจในการเสียภาษี อากร ของประชาชนได้มาก
                        2.ความแน่นอน
                        3.หลักความเป็นกลางทางเศรษฐกิจ เพื่อมิให้กระทบกระเทือนการตัดสินใจทาง ธุรกิจของประชาชน
                        4.หลักอำนวยรายได้ ภาษีอากรที่ดีจะต้องมีลักษณะทำรายได้ให้กับรัฐบาลได้ดี ได้แก่ เป็นภาษีอากรที่มีฐานกว้าง
                        5.หลักความยืดหยุ่น ภาษีอากรที่ดีจะต้องมีความยืดหยุ่น หรือปรับตัวเข้ากับการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสม เอื้ออำนวย ต่อการบริหารการ จัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิ ภาพ
                        6.หลักประสิทธิภาพในการบริหาร ระบบภาษีอากรที่ดีต้องเป็นระบบที่สามารถ จัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เช่น เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
            เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการดำรงชีวิตของคนในสังคม โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับการบริโภคสินค้าและการใช้บริการ เช่น มนุษย์ต้องบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม ต้องใช้บริการรถประจำทาง รถไฟฟ้า รวมทั้งบริการอื่น ๆเพื่ออำนวยความสะดวก
            หน่วยงานที่คุ้มครองผู้บริโภคมีอยู่หลากหลายและกระจายตามประเภทของการบริโภคสินค้าและบริการ เช่น
                        1.กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับอาหาร ยา หรือเครื่องสำอาง เป็นหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณาสุข ที่ต้องเข้ามาดูแล
                        2.กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมก็ เป็นหน้าที่ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ต้องเข้ามาดูแล
                        3.กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับเจ้าของธุรกิจจัดสรรที่ดิน อาคารชุด เป็นหน้าที่ของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยเข้ามาดูแล
                        4.กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับคุณภาพหรือราคาสินค้าอุปโภค บริโภค เป็นหน้าที่ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องเข้ามาดูแล
                        5.กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับการประกันภัยหรือประกันชีวิต เป็นหน้าที่ของกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องเข้ามาดูแล
            กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ได้บัญญัติสิทธิของผู้บริโภคได้ 5 ประการ คือ
                        1.สิทธิที่จะได้รับข่าวสาร
                        2.สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกซื้อสินค้า
                        3.สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยในการเลือกซื้อสินค้า
                        4.สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย
กฎหมายการรับราชการ
            ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดหน้าที่ของชนชาวไทยไว้ว่า บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รับราชการทหารทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติและในพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.. 2497 บัญญัติไว้ว่า ชายที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย มีหน้าที่รับราชการทหารด้วยตนเองทุกคน
            ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าการรับราชการทหารเป็นหน้าที่สำคัญและประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะชายที่ มีสัญชาติเป็นไทยทุกคนต้องรู้หน้าที่และขึ้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้เกี่ยวกับการรับราชการทหาร

            พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.. 2497
                        กฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องรับราชการทหารมีชื่อเรียกว่า พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.. 2497” ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมมารวม 6 ฉบับ ประกาศเป็นพระราชกฤษฎี 1 ฉบับ และประกาศเป็นกฎกระทรวง รวม 73 ฉบับ การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร ดังต่อไปนี้
                                    ทหารกองเกิน หมายความว่า ผู้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปี บริบูรณ์และยังไม่ถึง 30 ปีบริบูรณ์ ซึ่งได้ลงบัญชีทหารกองเกินไว้แล้ว
                                    ทหารกองประจำการ หมายความว่า ผู้ซึ่งขึ้นทะเบียนกองประจำการและได้เข้ารับราชการในกองประจำการจนกว่าจะได้ปลด
                                    ทหารกองหนุน หมายความว่า ทหารที่ปลดจากกองประจำการโดยรับราชการในกองประจำการจนครบกำหนด หรือทหารกองเกินซึ่งสำเร็จการฝึกวิชาทหารตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการฝึก วิชาทหาร และได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการแล้วปลดเป็นกองหนุน
                        วิธีนับอายุถ้าเกิดพุทธศักราชใดให้ถือว่ามีอายุครบหนึ่งปีบริบูรณ์เมื่อสิ้นพุทธศักราชที่เกิดนั้น ส่วนการนับอายุต่อไปให้นับแต่เฉพาะปีที่สิ้นพุทธศักราชแล้วถ้าไม่ปรากฏปีเกิดให้นายอำเภอท้องที่เป็นผู้กำหนด
      1.  การลงบัญชีทหารกองเกิน
(1)    ชายที่มีสัญชาติเป็นไทย เมื่ออายุอย่างเข้า 18 ปี ในปี พ.. ใดต้องไปแสดงเพื่อลงบัญชีทหารกองเกิน
ที่อำเภอท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาทหารของตนภายใน พ.. นั้น หากไม่สามารถไปลงบัญชีทหากองเกินด้วยตนเองได้ ต้องให้บุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะและเชื่อถือได้ไปแจ้งแทน ให้นายอำเภอสอบสวน เมื่อเห็นว่าถูกต้องให้ลงบัญชีทหารกองเกินไว้
(2)    ชายที่ยังไม่ได้ลงบัญชีทหารกองเกิน ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม ถ้าอายุยังไม่ถึง 46 ปีบริบูรณ์ จะ
ต้องไปลงบัญชีทหารกองเกินเช่นเดียวกับบุคคลในข้อ (1) ภายใน 30 วันนับแต่วันที่พ้นเหตุที่ทำให้ไปแจ้งตามกำหนดไม่ได้ โดยต้องไปแจ้งการลงบัญชีทหารกองเกินด้วยตนเอง จะให้ผู้อื่นไปแจ้งแทนไม่ได้
            ความผิด  การฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม ข้อ (1) หรือ ข้อ (2) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 300 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
            ข้อยกเว้น  ผู้ที่ไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินต่อนายอำเภอ แต่จะมีเจ้าพนักงานไปจัดการให้มีการลงบัญชีทหารกองเกินที่วัดหรือเรือนจำเอง แล้วแต่กรณีคือ
(1)    สามเณรเปรียญ
(2)    ผู้ซึ่งอยู่ในระหว่างควบคุมหรือคุมขังของเจ้าพนักงาน
2.การคัดเลือกทหาร (การเรียกคนเข้ากองประจำการ) บุคคลที่อยู่ในกำหนดออกหมายเกณฑ์ให้มา
ตรวจเลือกเข้าเป็นทหารกองประจำการ คือ ผู้ที่ได้ลงบัญชีทหารกองเกินไว้แล้ว
            3.การเข้ารับราชการทหารเมื่อผลการคัดเลือกทหารปรากฏว่าผู้ใดต้องเป็นทหารแล้ว ผู้นั้นต้องเข้ารับราชการทหารทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้ดำเนินการเรียกและส่งทหารเข้ารับราชการตามความ ประสงค์ของกระทรวงกลาโหม
            4.ข้อยกเว้นบุคคลต่อไปนี้เมื่อลงบัญชีทหารกองเกินแล้วไม่ต้องถูกเรียกมาตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการในยามปกติ
                  ประโยชน์ของการเข้ารับราชการทหาร
                          นอกจากจะเป็นการรับใช้ประเทศชาติด้วยการทำหน้าที่เป็น รั่วของชาติการเข้ารับราชการทหารแม้จะเป็น ทหารเกณฑ์ก็ จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัวอย่างมาก กล่าวคือ การได้รับการฝึกแบบทหาร ซึ่งฝึกให้เป็นผู้มีระเบียบวินัย มีความกล้าหาญอดทน มีความเสียสละ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ตลอดจนความสมานสามัคคีและฝึกให้มีชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยปกติสุข