วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ดาวเคราะห์เเคระ

ดาวเคราะห์เเคระ

       ดาวเคราะห์เเคระเป็นดาวชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์ ตามการจำเเนกชนิดดาวเคราะห์ที่เสนอโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล(Internationnal Astromical Union:IAU) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ 2549 ที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปรากสาธารณรัฐเช็ก ทำให้ดาวพลูโตกลายเป็นดาวเคราะห์เเคระ หลังจากเคยยอมรับว่าเป็นดาวดวงหนึ่งในระบบสุริยะ ทั้งนี้ เพราะไม่ว่าสามารถควบคุมเเรงดึงดูดเเละวงโคจรของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบวงโคจรของมันได้จนถึงปัจจุบัน มีวัตถุบนท้องฟ้าที่จัดเป็นดาวเคราะห์เเคระ มีดังนี้
        1.ดาวพลูโต

ดาวพลูโต

           ดาวพลูโตมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2,390กม. มีดวงจันทร์เป็นบริวาร 5 ดวง ได้เเก่ คารอน นิกซ์ ไฮดรา S/2011 P 1 และ S/2012 P 1  พลูโตเป็นเทพเจ้าเเห่งเมืองบาดาลในเทพนิยายโรมันหรือเรียกว่า "ฮาดาส" ในเทพนิยายกรีก สันนิษฐานว่าสาเหตุหนึ่งที่ตั้งชื่อว่าดาวดวงนี้ชื่อพลูโต ก็เพื่อให้มันมีตัวอักษร "P-L" ในชื่อเพื่อเป็นเกียรติเเก่ เปอร์ซิวัล โลเวลล์ ในภาษาไทยอาจเรียกว่าพลูโตว่า "ดาวยม" หมายถึงยมโลกหรือนรก ซึ่งมีความหมายพ้องกับชื่อพลูโตหรือฮาเดสในตำนาน  ดาวพลูโตถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ 2547 โดยบังเอิญ มีการคำนวณหาตำแหน่งหาตำแหน่งดาวเคราะห์ดวงใหม่ถัดจากดาวเนปจูน โดยใช้หลักฐานการเคลื่อนที่ของดาวยูเรนัสกับดาวเนปจูนเเต่ไม่ประสบความ สำเร็จ จนกระทั่ง ไคลด์ ทอมบอก์ (Clyde Tombaught) แห่งหอดูดาวโลเวลล์ ในรัฐแอริโซนา ได้ทำการสำรวจท้องฟ้าและพบดาวพลูโตในที่สุด

ไคลด์ ทอมบอก์

          หลังจากได้ค้นพบดาวพลูโตเเล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันว่า ขนาดของดาวพลูโตเล็กเกินกว่าที่จะรบกวนวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่นได้ จะต้องมีดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าจึงจะรบกวนดาวเนปจูนได้ ดังนั้นการค้นหาดาวเคราะห์ X จึงมีขั้นต่อไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดถูกค้นพบเพิ่มเติม จนนกระทั่งยานวอยเอเจอร์ 2 ได้ข้อมูลด้านมวลสารของดาวเนปจูนเพิ่มเติม ข้อถกเถียงดังกล่าวจึงหมดไปโดยไม่จำเป็นต้องมีดาวเคราะห์ดวงที่ 10  อย่างไรก็ตาม ในช่วงศตวรรษที่ล่าสุดมีการค้นพบวัตถุที่คล้ายดาวพลูโตมากมายในบริเวณนั้น เดียวกับดาวพลูโตที่เรียกว่า แถบไคเปอร์และดาวพลูโตก็มีลักษณะไม่สอดคล้องกับกำเนิดของดาวเคราะห์อย่างดาวเคราะห์ก๊าซหรือดาวเคราะห์หิน นำมาสู่หัวข้อในที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก

         2.ดาวซีเรส
ดาวซีเรส
          ซีเรสหรือชื่อเป็นทางการว่า 1 ซีเรส เป็นดาวเคราะห์น้อยดวงใหญ่ที่สุดและเป็นดาวเคราะห์เคระดวงเดียวในระบบสุริิยะชั้นใน เป็นดาวเคราะห์น้อยดวงเเรกที่ถูกค้นพบ โดยจูเซปเป ปีอาซซี นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ 1801 ตั้งตามชื่อซีรีสเทพีโรมันเเห่งการปลูกพืชเก็บเกี่ยวเเละความรักอย่างมารดา
        

จูเซปเป ปีอาซซี
          ดาวซีเรสมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 950 กม.และประกอบด้วยมวล 1 ใน 3 ของมวลทั้งหมดในแถบดาวเคราะห์น้อย พื้นผิวดาวซีเรสอาจเป็นส่วนผสมของนำ้เเข็งเเละธรตุที่ถูกไฮเดรต เช่น คาร์บอเนตเเละดินเหนียว ดาวซีเรสจำเเนกแก่นหินและเเมนเทิลนำ้เเข็งเเละอาจมีมหาสมุทรน้ำในสถานะของเหลวกักก็บไว้ใต้พื้นผิวจากโลกโชติมาตรปรากฏของดาวซีเรสอยู่ระหว่าง 6.7-9.3 ดังนั้นเเม้ในช่วงสว่างสุดก็ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยกเว้นท้องฟ้าที่มืดอย่างยิ่ง วันที่ 27 กันยายน ค.ศ 2007 นาซ่าส่งยานสำรวจอวกาศดวอ์น ไปสำรวจเวสตาเเละซีเรส

       3.ดาว UB313
ดาว UB313




         ดาว UB313 อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะทาง 97 หน่วยดาราศาสตร์ โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบ 557 ปีเเละระนาบวงโคจรเอียงทำมุม 44 องศากับระนาบวงโคจรโลก ขณะนี้ถือเป็นวัตถุเเถบไคเปร์(Kuiper Belt Object) หรือวัตถุทีโอเอ็น(Trans Neptunian Object) ซึ่งหมายถึงวัตถุที่อยู่ไกลเลยจากวงโคจรของดาวเนปจูน ไมเคิล บราวน์,ชาด ทรูจิลโลเเละเดวิด เรบิโนวิตซ์ ค้นพบ 2003 UB313 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2548 จากภาพถ่ายท้องฟ้าที่ถ่ายไว้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2546 พวกเขาประกาศการค้นพบในวันที่ 9 กรกฎาคม 2548 พร้อมกับวัตถุเเถบไคเปอร์อีก 2 ดวง คือ 2003 EL เเละ 2005 FY นักดาราศาสตร์ทราบขนาดของวัตถุอย่าง 2003 UB 313 โดยดูจากความสว่างที่วัดได้และการคาดคะเนความสามารถในการสะทอนเเสงของพื้นผิวที่เรียกว่า อัตราส่วนสะท้อน (albedo) และถึงเเม้จะสมมติใหเ 2003 UB 313 สะท้อนเเสงดวงอาทิตย์ที่ตกลงบนพื้นผิวออกมาทั้งหมด 100% มันก็ยังมีขนาดพอๆกับดาวพลูโต นั่นหมายความว่าวัตถุนี้ต้องมีขนาดใหญ่กว่าดาวพลูโต เบื้องต้นคะเนว่าอาจมีขนาดราว 2,600 กม. เเต่ไม่เกิน 3,200 กม.