วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เขาพระวิหารของศาลโลก

เขาพระวิหาร
      
          ปราสาทพระวิหารเป็นปราสาทหินตามแบบศาสนาฮินดูที่ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก
สูงจากระดับทะเลปานกลาง 657 เมตร ที่ตั้งของศาสนสถานแห่งนี้รู้จักกันในนาม พนมพระวิหาร หมายถึง บรรพตแห่งศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ อยู่ใกล่กับอุทยานเเห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ
          ปราสาทพระวิหารมีสถาปัตยกรรมแบบเขมร สร้างตามแนวเหนือใต้ซึ่งผิดแปลกไปจากปราสาทขอมส่วนใหญ่ ไทยและกัมพูชามีประวัติพิพาทเหนือตัวปราสาทเป็นเวลานานแล้ว ใน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาท

ความเป็นมาของเขาพระวิหาร

        เขาพระวิหาร หรือที่หลายๆ คนรู้จักในนาม "ปราสาทเขาพระวิหาร" (Prasat Preah Vihear) และที่ประเทศกัมพูชาเรียกขานว่า "เปรี๊ยะวิเฮียร์" เป็นปราสาทหินตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ในพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างบ้านสรายจร็อม อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ของประเทศกัมพูชา และบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้ๆ กับอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร 
       เขาพระวิหาร เป็นบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนพื้นเมืองสมัยก่อน ในกษัตริย์ชัยวรมันที่ 2 ได้กำหนดเขตบริเวณนี้และเรียกชื่อว่า "ภวาลัย" ภายหลังปรากฏชื่อในจารึกภาษาสันสกฤตว่า "ศรีศิขรีศวร" หมายความว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาอันประเสริฐ" ตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาพนมดงรัก ตามแนวเส้นกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา จากหลักฐานต่างๆ คาดว่าสร้างในปีพ.ศ.1432-1443 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เพื่อใช้เป็นสถานที่สักการะตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์
       ปราสาทเขาพระวิหารประกอบด้วยหมู่เทวาลัยและปราสาทหินจำนวนมาก ทั้งหมดสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ ซึ่งเทวาลัยหรือปราสาทหินแห่งแรกสร้างขึ้น เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซากปรักหักพังของเทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ครั้น และปราสาทเขาพระวิหารเป็นสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนของ "ขะแมร์กัมพูชา" (ขอม) แต่โบราณ ที่อาศัยอยู่ทั้งในกัมพูชาปัจจุบัน และในภาคอีสานของเรา ขะแมร์กัมพูชา เป็นชนชาติที่มีความสามารถยิ่งในการสร้าง "ปราสาท" ด้วยหินทรายและศิลาแลง ซึ่งขะแมร์กัมพูชาก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหารติดต่อกันมายาวหลายรัชสมัย กว่า 300 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ "ยโสวรมันที่ 1" ถึง "สุริยวรมันที่ 1" เรื่อยมาจน "ชัยวรมันที่ 5-6" จนกระทั่งท้ายสุด "สุริยวรมันที่ 2" และ "ชัยวรมันที่ 7" จากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 (หรือจากพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 หรือก่อนสมัยสุโขทัย 300 ปีนั่นเอง)

ปัญหาเขาพระวิหาร

         ปัญหาของเขาพระวิหารระหว่างประเทศไทยเเละประเทศกัมพูชาในเเต่ละปี มีดังนี้
             ปี 2447-2451 "ฝรั่งเศส" มีฐานะเป็นรัฐผู้อารักขา "กัมพูชา" ได้เกิด "สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. 122" (พรมแดนที่เป็นปัญหา ให้ถือเอา "สันปันน้ำ" เป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขตแดน และให้แต่งตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อได้ทำการสำรวจบริเวณพื้นที่แถบนั้น โดยฝรั่งเศส ได้เขียน "แผนที่" ขึ้นมา ในปี 2450 (เป็นปัญหามาจนปัจจุบัน) แต่....ไม่ได้รับการทักท้วงจาก "รัฐบาลไทย" ในเวลาอันควร (เกินกว่า 50 ปี) ซ้ำยังแสดงความขอบคุณ ชื่นชม "ฝรั่งเศส" ด้วยซ้ำ.. (เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น คือ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
             ปี 2493 "กัมพูชา" ประกาศเอกราช โดยมี "ประเทศไทย" เป็นผู้รับรองลงนามให้เป็นประเทศแรก จากนั้น "กัมพูชา" เริ่มสนใจในเขตแดน และทรัพยากรของตน
             ปี 2501   เริ่มมีข้อพิพาท "การอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร" ระหว่าง ไทย-กัมพูชา
             ปี 2502   เรื่องเข้าสู่ "ศาลโลก" ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ และศาลฯ ได้รับเรื่องพิจารณาคดี
             ปี 2505   "ศาลโลก" ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ตัดสิน ให้ไทย ตัด "ปราสาทพระวิหาร" เป็นของ "กัมพูชา" โดยมติ "ไม่เอกฉันท์" 9:3 เสียง ทั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึง "พื้นที่ทับซ้อน" และยังไม่ชัดเจนในการบริหารจัดการ
             ปี 2540    พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และกัมพูชา ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดน สำหรับเขตแดนทางบก (Joint Statement on the Establishment of the Thai - Cambodian Joint Commission on the Demarcation for Land Boundary)
             ปี 2542    มีการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ 1 (30 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2542) จากนั้น ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ขึ้น
             ปี 2543    14 มิถุนายน 2543 ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ ของทั้งสองฝ่าย คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายวาร์ กิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน ได้ลงนามใน...."MOU 2543"
             ปี 2549   "กัมพูชา" ยื่นขอขึ้นทะเบียน "ปราสาท" เป็นมรดกโลก (ฝ่ายเดียว) ครั้งแรก และจะเนียน..จดรวบพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. โดยอ้างว่า "ไม่ทราบว่ามี"  เรื่องราวต่อเนื่อง ยืดเยื้อมาถึงปี 2551
             ปี 2551   "รัฐบาลไทย" นำโดย นายกรัฐมนตรี "นายสมัคร สุนทรเวช" และ รมว.ต่างประเทศ คือ "นายนพดล ปัทมะ" ได้ยื่น "แถลงการณ์ร่วม 2551" โดยมี ใจความสำคัญในแถลงการณ์ เพื่อ "คัดค้าน" กัมพูชา 2 ข้อสำคัญ

            1. เป็นการบังคับให้กัมพูชา "ตัดพื้นที่ทับซ้อนออก" ไม่ให้นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก
            2. เป็นหลักฐานให้เห็นว่ากัมพูชายอมรับว่า "มีพื้นที่ทับซ้อน" ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยยอมรับเลย ว่ามีพื้นที่ทับซ้อนมาก่อน

            โดย "รัฐบาลสมัคร" ขอให้ทางกัมพูชา ยื่นขึ้นทะเบียนเฉพาะ "ตัวปราสาท" ให้ "ระงับการยื่นจดพื้นที่ทับซ้อน" ไว้ก่อน เพื่อนำเข้าสู่การเจรจาเพื่อความสงบเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย และ "สันติภาพ" ต่อไป

            เหตุการณ์ ปี 2551 หลังจาก "แถลงการณ์ร่วม" ของไทยครั้งนั้น ทำให้ "กัมพูชา" ไม่สามารถยื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลก แบบ "เหมาหมด" ได้ จนนำมาสู่การตัดสินคดีความ อันเป็นที่น่าสนใจในปัจจุบัน คือ ในเดือนเมษายน ปี 2556 นี้...

 

 

 การพิพากษาเขาพระวิหาร

พิพากษาเขาพระวิหาร



แผนที่เขาพระวิหารระหว่างประเทศไทยเเละประเทศกัมพูชา

          ศาลโลกยืนตามคำพิพากษาคดีเขาพระวิหารปีั 2505 ให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร ส่วนเขตแดนให้ไปตกลงกันเอง 2 ประเทศโดยมี UNESCO ดูแล ขณะที่ทูตวีรชัย ชี้ กัมพูชาไม่ได้ในสิ่งที่ร้องขอต่อศาล

            เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2556) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์คณะตุลาการ ศาลโลก ได้ออกนั่งบนบัลลังก์เพื่ออ่านคำพิพากษาคดีเขาพระวิหารแล้ว โดยคณะผู้พิพากษาเริ่มต้นด้วยการกล่าวแสดงความเสียใจต่อการสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ของไทย
            ซึ่ง หลังจากนั้น ประธานศาลโลก ได้เริ่มต้นอ่านคำพิพากษาคดีที่กัมพูชาได้ยื่นร้องขอให้ศาลโลกตีความคดีดัง กล่าวในปี 2554 ตามธรรมนูญศาลโลก ข้อ 60 เรื่องข้อพิพาทในพื้นที่ใกล้บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยประธานศาลโลก ระบุว่า ศาลโลกมีมติรับคำร้องขอของกัมพูชาที่จะตีความคำพิพากษาปี 2505 ตามรัฐธรรมนูญศาลโลก ข้อ 60 โดยให้พิจารณาตามแนวปฏิบัติที่ผ่านมา ประกอบกับพยานหลักฐานของแต่ละฝ่าย ซึ่งทำให้ศาลโลก ไม่อาจตีความเกินคำพิพากษาปี 2505 ได้

            และเมื่อย้อนกลับไปดูคำตัดสินปี 2505 พบว่า กรณีนี้เป็นประเด็นเขตอำนาจอธิปไตยมากกว่าการกำหนดเขตแดน โดยที่ศาลโลกมีอำนาจรับพิจารณาเฉพาะข้อที่เป็นเหตุที่ไม่ใช่บทปฏิบัติการ และไม่ได้มีแนบในแผนที่ในคำพิพากษาปี 2505 ประกอบกับการนำเหตุการณ์ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เดินทางเยือนปราสาทพระวิหาร โดยมีทางการฝรั่งเศสให้การต้อนรับ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นการยอมรับดินแดนทางอ้อม อีกทั้ง การที่คู่ความทั้งสองได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 ทำให้แผนที่ภาคผนวก 1 ถูกบรรจุในสนธิสัญญา สำหรับการที่ขอตีความครั้งนี้ กัมพูชาระบุว่า ขอบเขตพื้นที่พิพาทเล็กมาก ขณะที่ศาลโลกเห็นพ้องว่าพื้นที่พิพาทนี้ก็เล็กมากเช่นกัน

            อย่าง ไรก็ตาม คำพิพากษาปี 2505 ศาลไม่มีหน้าที่ปักปันเขตแดน เนื่องจากเห็นว่า เป็นเรื่องการกำหนดอธิปไตยมากกว่ากำหนดดินแดน ดังนั้น ศาลโลกจึงเห็นว่า สมควรให้ไทยและกัมพูชาดำเนินการหารือกันเอง เพื่อร่วมรักษามรดกโลกแห่งนี้ให้คงไว้

            ทั้ง นี้ หลังจากศาลโลกได้อ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น จากนั้น ในเวลา 17.35 น. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ได้แถลงข่าวว่า ทั้งสองฝ่ายรู้สึกพอใจกับคำพิพากษาของศาล ซึ่งหลังจากนี้จะไปหารือกับ กัมพูชาในคณะกรรมาธิการร่วมฯ ต่อไป พร้อมกับให้ นายวีระชัย พลาศัย ในฐานะหัวหน้าทีมทนายความของฝ่ายไทยได้ชี้แจงต่อ
            โดย นายวีระชัย พลาศัย ทูตไทยที่เป็นตัวแทนไปสู้คดีเขาพระวิหาร ได้กล่าวว่า ศาลได้ตัดสินว่ามีอำนาจพิจารณาตีความตามคำร้องของกัมพูชา อย่าง ไรก็ตาม กัมพูชาไม่ได้รับในสิ่งที่มาร้องขอต่อศาล คือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รวมทั้งพื้นที่ภูมะเขือ กัมพูชาไม่ได้ เพราะศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องเขตแดน แต่ได้เน้นว่าเป็นพื้นที่เล็กมาก ๆ ซึ่งขณะนี้กำลังคำนวณอยู่ ส่วน พื้นที่ 1 ต่อ 2 แสนตารางกิโลเมตรที่เป็นปัญหากันอยู่นั้น ศาลไม่ได้ตัดสินว่าผูกพันกับไทย ดังนั้นถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ๆ
            นอกจากนี้ นายวีระชัย ยังระบุด้วยว่า ศาลโลกได้แนะนำให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาร่วมกันดูแลเขาพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก